วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มหากาพย์รถเมล์ไทย : ตอนกระบอกตังค์ ไม่ธรรมดา

ขอบคุณภาพประกอบจาก internet

วันนึง อีกแล้ว 555

ก็นั่งรถเมล์เรื่อยไป ก็นั่งฟังคนขับรถเมล์กับกระเป๋ารถเมล์คุยกัน + ประสบการณ์ที่ผ่านมา

ก็ได้ฟังเกี่ยวกับ กระบอกตังค์ของกระเป๋า ที่เป็นทรงกระบอกยาวๆ ที่กระเป๋าเอาไว้ทำเสียงแงบๆ เก็บตังค์จากเราและก็ฉีกตั๋วให้

ภายนอก
มีหลายขนาด ทั้งขนาดสั้น ขนาดยาว ก็แล้วแต่ชอบกันไป [บางคนบอกชอบยาวๆ เพราะอะไรไม่ทราบได้ ไม่เคยเป็นกระเป๋า 555]

มีหลายสีอีกตังหาก โดยใช้สติกเกอร์ติดโดยช่างผู้ชำนาญก็ว่าไป หรือจะพ่น หรืออื่นใดก็แล้วแต่จินตนาการและเงินในกระเป๋า

วัสดุยิ่งดีก็ยิ่งแพง โลหะ ทองเหลือง อะลูมิเนียมหรือ สแตนเลส ก็ว่าไป

ภายใน
ก็สามารถแบ่งส่วนได้เป็นที่ใส่ตั๋ว กับที่ใส่ตังค์ ก็แล้วแต่ แต่ละคนจะจัดการ บางสายมีหลายราคาก็ต้องมีที่เก็บตั๋วเยอะหน่อย หรือจะเอาที่เก็บตั๋วมาใส่ตังค์เหรียญเล็กๆแยกไว้ก็ว่าไป

ราคาของกระบอกก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ 500 ถึงเป็นพัน [ตอนแรกก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าราคามันจะไปได้ถึงขนาดนั้น] คล้ายๆเป็นของแฟชั่นของกระเป๋ารถ เอาไว้ประดับกันเลยทีเดียว ราคาพอๆกับมือถือถูกๆเลยอะ

แถมมีช่างมืออาชีพที่ทำงานติดสติกเกอร์กระบอกโดยเฉพาะ แวะเวียนไปตามอู่ต่างๆ โดยชื่อเสียงก็จะได้จากการบอกต่อกันของ คนขับ กับกระเป๋า

เสียงของกระบอก อันนี้ก็อาจเป็นปัจจัยนึงในการเลือกใช้งานได้ 555 แงบๆ แก็ปๆ กับๆ แหอะๆ

การหาซื้อก็น่าจะมีอยู่แถวๆที่มีอู่รถเมล์ เพราะคนทั่วไปเค้าก็คงไม่เอาไว้ทำอะไรเท่าไหร [นอกจากบางคนอาจอยากลองสะสมดู] แถวจตุจักรก็มี หรือจะหาซื้อจากอินเตอร์เน็ตก็ไม่ยากเกินไป

ส่วนใครที่คิดว่าการถือแล้วแค่เปิดๆ ปิดๆ ฉีกตั๋ว หยิบตังค์ง่ายๆ ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าคิดผิด เพราะของจริงก็ต้องใช้ความชำนาญอยู่พอควรเลยทีเดียว

แล้วรูปทรงนั้นก็ออกแบบมาคิดว่าค่อนข้างมีประโยชน์นะ เพราะเหมาะมือ และวางตรงราวเหนือประตูได้พอดีเลย เวลาเหนื่อยๆ และไม่เคยเห็นมันวางอยู่แล้วเปิดได้เองเหมือนกันแหะ

อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนออกแบบ เพราะตอนแรก กระเป๋ารถเมล์ก็ใช้กระเป๋านี่เหละเก็บตังค์ แต่ตอนหลังพึ่งมาเปลี่ยน แต่ก็เปลี่ยนก่อนเราๆ หรือบางคนจะเกิดกันอะนะคะ 555 นานละ

วันนั้นก็นั่งรถเมล์ไป เรียนวิชารถเมล์ศึกษาไป 555
GnohZnutlll

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วัฐจักรของแมว

รูปประกอบจากเน็ต แต่ตัวน้ำตาลเหมือนไอ้ตัวเล็กมาก

แด่ไอ้ตัวเล็ก

มีแมวอยู่ตัวนึงตั้งชื่อให้มันว่าไอ้ตัวเล็ก แม่มันคลอดลูกมาหลายคลอกแล้ว คลอกนี้น่าจะมีสามตัวแต่ตัวนึงตกหลังคาตายไปก่อนหลังจากเกิดได้ไม่ถึงเดือน อีกตัวไม่รู้ ส่วนตัวนี้อยู่รอดมาได้

ไอ้ตัวเล็กมีสีน้ำตาลเหลืองที่ตัว ส่วนอื่นๆก็จะเป็นสีขาว ตัวผู้ แม่มันพาลงมาจากหลังคาหลังจากผ่านไปหลายเดือน ในตอนแรกมันก็แอบอยู่ใต้เก้าอี้ใกล้กับจานอาหาร พอคนไม่อยู่ก็มาทานอาหารกับแม่ของมัน ซนมาก เคยจับมาไว้ในบ้านเพื่อให้รถขยับอยู่ประมาณชั่วโมง - สองชั่วโมง เพราะมันชอบไปแอบในล้อรถ อันตราย ตอนนั้นตัวสั่นมาก พยายามคุมมันให้อยู่ในเขตแดน พอขยับรถเสร็จก็ปล่อบไปวิ่งจู๊ดเลย

สักพักแม่มันก็เริ่มท้องอีก และก็ทิ้งไอ้ตัวเล็กไว้อยู่ตัวเดียว ชอบเล่นกับคนแล้ว รู้ว่ามันเหงาเพราะแม่มันแอบไปคลอดลูกอีกแล้ว และแม่มันไม่ยอมให้มันเข้าใกล้เพราะมันซนมาก เล่นกับแม่มันไม่หยุดแม่มันคงเหนื่อย ขนาดเราบางทียังเซง ที่มันชอบมาเกาะแกะที่ขา จะเดินก็ลำบากกลัวจะเหยียบมัน

เวลาหิวเริ่มร้องไม่หยุด จนกว่าจะสนใจ มีความอดทนมาก บางทีก็ตะกุยประตูให้สนใจซึ่งเราก็ชอบแกล้งมันด้วยการสะบัดน้ำที่มือใส่ แต่มันก็ไม่เข็ด พอเลิกกลัวน้ำก็มาใหม่ จนคนนี่แหละหมดความอดทนต้องไปให้อาหารมัน ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้อยากทานอาหาร มันอยากเล่นด้วย

ตอนหลังๆชักชอบวิ่งเข้าบ้านมานอนเล่น ปกติจะเลี้ยงมันนอกบ้านปล่อยอิสระ แต่ชอบวิ่งเข้ามาสำรวจในบ้านเหลือเกิน โดยเฉพาะห้องน้ำ ตัวนี้ใจกล้ามากกว่าแม่มันเยอะ ยังเด็กด้วยเลยขี้อ้อน ขี้เล่น และหลอกง่าย

ของเล่นที่ชอบคือก้านดอกไม้ประดิษฐ์ยาวๆ ที่เอามาล่อมันออกจากบ้านได้ทุกครั้งไป ซึ่งบางทีมันก็ไม่เชื่อ เริ่มฉลาด หลังจากโดนหลอกหลายที แต่ก็ยังฉลาดไม่พอนะไอ้หนู

วันๆ มันก็เอาแต่กิน กับนอน จนสังเกตได้ว่ามีพุงอะ แมวอ้วน

มีอยู่ครั้งนึงเคยได้อาหารแมวอย่างดีมา เอาให้มัน มันก็เลียกับแม่จนจานสะอาดเลย

อ่อตอนหลังจากแม่มันคลอดลูก ก็กลับมาหาตัวนี้อีกครั้ง เล่นกันน่ารักมาก ลูกมันคงรักแม่มันมากเหมือนกัน

อยู่มาวันนึงตอนกำลังจะออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้า ก็เห็นมันนอนนิ่งอยู่ นิ่งมาก นิ่งจนน่ากลัว เลยเรียกน้อง เรียกพ่อออกมาดู พ่อเป็นหน่วยพิสูจน์

พ่อบอกว่าไอ้ตัวเล็กตายแล้ว อาจโดนรถชน คือ พ่อบอกว่ากระดูกแหลก แต่คือเราไม่เห็นรอยเลือดเลย คาดว่าน่าจะช้ำใน

จากการคาดเดาคิดว่ามันน่าจะถูกรถชนแล้วใช้แรงสุดท้ายวิ่งมาตายในรั้วบ้าน ที่มันเกิด

เราเศร้ามาก ไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่สูญเสียมานานมากแล้ว

จะรักและคิดถึงแกตลอดไป ไอ้ตัวเล็ก ขอให้แกได้ไปเกิดในที่ดีๆ มีความสุขนะ ลาก่อน น้องรัก

ใครบอกว่าแมวมีเก้าชีวิต ไม่จริงเลย มันมีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น ในขณะที่มันยังอยู่ก็รัก และดูแลมันให้มาก ได้ไม่เสียใจ TT

ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น รักและดูแลท่านให้มากได้ไม่เสียใจเมื่อสายเกินไป

GnohZnutlll

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มหากาพย์รถเมล์ไทย : ตอน สปีค อิง ลิช


วันนี้ก็นั่งรถเมล์ตามปกติ

พอถึงป้ายนึง อยู่ๆก็มีผู้หญิงชาวต่างชาติเดินขึ้นมาพร้อมถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "ที่นี่ไปสะพานพระรามเจ็ดไหม"

ด้วยความที่ข้าพเจ้าเห็นกระเป๋ารถเงียบๆ เลยช่วยถามกระเป๋าให้

กระเป๋าตอบว่า "ไม่"

ข้าพเจ้าได้ยินว่า"ไป"ก็เลยบอกเค้าว่าไปได้

เค้าก็เลยขึ้นมานั่งเรียบร้อยเลย

กระเป๋าเลยรีบบอกว่าไม่ไปนะ

ข้าพเจ้าเลยรีบบอกเค้าว่า "ขอโทษด้วยรถคันนี้ไม่ได้ไป ฉันเข้าใจผิด"

กระเป๋าก็พูดเป็นภาษาอังกฤษเสริมมาว่า "รถไปอนุสาวรีย์ ถ้าไปพระราม 7 ต้องสาย 50"

เค้าก็เข้าใจว่า โอเคๆสาย 50 ขอบใจมาก แล้วรีบเดินลงไป

ข้าพเจ้าก็นั่งอึ้งๆอยู่ ว่าเดี๋ยวนี้รถเมล์ไทยพัฒนาไปพอควรเลยนะ สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ด้วย ถึงแม้จะยังไม่ค่อยจะกล้าๆในตอนแรก หรือยังเป็นแค่เพียงประโยคสั้นๆ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะช่วยชาวต่างชาติได้ละนะ

กระเป๋ารถเมล์ ไม่ได้มีดีแค่เก็บตังค์ 555

มีเรื่องราวเกี่ยวกับรถเมล์อีกเยอะ ไว้จะมาเล่าต่อนะคะ ติดตามกันด้วย ^^
GnohZnutlll




วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เคยได้ยินมาเกี่ยวกับการรับบริจาค


การรับบริจาคก็ไม่ได้ผิดอะไร บางครั้งนักศึกษาก็ต้องหาเงินจากสังคมหนึ่ง ไปช่วยอีกสังคม แต่ถ้าอยากให้เงินที่ได้รับมีจำนวนมากทำยังไง?

มีคนเคยบอกไว้

แต่ให้ลองทายกันก่อน
การรับบริจาค ถ้าเทียบระหว่างแยกกันไปเงียบๆ กับ ทำเป็นกลุ่มคึกครื้น
อย่างไหนจะได้เงินบริจาคมากกว่ากัน?



สรุปคือไปเงียบๆได้เงินเยอะกว่า



เพราะอะไรนะหรือ? คงเพราะคนเราขี้อายมั่ง อยู่ต่อหน้าคนเยอะๆเลยไม่กล้าเดินเข้าไปบริจาค ทั้งๆที่บางทีก็อยากทำ และ แยกกันไป ไปหลายที่เจอคนได้มากกว่าด้วย ถ้ารวมกลุ่มเราก็จะอยู่ได้ไม่กี่ที่ คนที่เจอเราก็อาจจะน้อยกว่า

แต่ก็แล้วแต่คน เวลา และสถานที่ละนะ แต่ถ้าเป็นแนวร้องเพลงเปิดหมวก ผลก็อาจจะต่างกัน ก็ไม่รู้ได้

ก็แค่คนบอกมาไม่ได้มีงานวิจัยจริงจัง จะเชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่วิจารณญาณละกันนะคะ เพื่อน้องๆจะต้องรับบริจาคได้ลองวิธีนี้ดู

GnohZnutlll

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มหากาพย์รถเมล์ไทย : ตอนรถเมล์ฟรี


เนื่องจากผู้เขียนก็นั่งรถเมล์เกือบทุกวัน ผ่านประสบการณ์กับรถเมล์มาก็หลากหลาย จึงอยากเล่าให้หลายๆคนได้อ่านกัน อาจเป็นทั้งเรื่องเล่า ข้อสงสัย ข้อสังเกตก็ว่าไป

โดยในตอนนี้ก็เป็นเหตุการณ์จำลองที่เมื่อมีรถเมล์ฟรีวิ่งมา ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
- รถเมล์แดงวิ่งมา
- สายตาทุกคู่หันควับ ล็อกเป้าหมายไปที่เลขสายรถ และ แถบรถเมล์ฟรีเพื่อประชาชนสีฟ้า
- เมื่อเป็นสายรถที่ต้องการ สมองแต่ละคนก็สั่งการให้วิ่ง (ถ้าเป็นสายที่ไม่ได้มานานแล้ว หลายคนนึกว่ามีคนมาแจกเงินเลยทีเดียว)
- รถเมล์พยายามวิ่งไปให้ไกลที่สุดก่อนจอด ซึ่งก็วิ่งเร็ว และคนก็วิ่งกรูแบบไม่กลัวรถชนกันเลยทีเดียว
- รถเมล์จอด
- ผู้โดยสารพยายามจะลง (ถูกคนที่พยายามจะขึ้นบังไว้)
- คนพยายามแย่งกันขึ้น (ถูกคนที่จะลงบังทางไว้)
- หลายคนที่จะให้คนบนรถลงมาก่อนพอเปิดทางปุปก็โดนแย่งที่ปัป
- พอคนลงมาหมดแล้ว คนที่จะขึ้นก็กรูกัน
- เจอเป้าหมายเป็นเก้าอี้ว่างๆปุป นั่งปับ
- พอได้ที่นั่งก็สบายใจ บางคนอาจหลับตาทันที
- ส่วนใครที่ต่อท้ายๆก็จะเริ่มปลงว่าคงไม่มีที่
- ถ้าที่นั่งหมด คนก็จะเริ่มยืนออกันที่ประตู เพราะไม่อยากไปอยู่หลังๆกลัวออกมาไม่ได้
- เบียดเสียดกันไป ถ้าตอนเช้าก็ว่าไป ถ้าตอนเย็นนี่แทบตายกับกลิ่นตัวเลยทีเดียว
- กระเป๋าไล่ให้คนขยับๆเข้าไปข้างใน
- ทุกอย่างลงตัว ประตูปิด
- รถเคลื่อนออกไปยังป้ายต่อไป และกระเป๋าเริ่มแจกตั๋วฟรี

เหตุการณ์พวกนี้จะเกิดขึ้นเร็วมาก และเกิดได้ทุกวันเลยทีเดียว
จากเหตุการณ์บอกได้ว่า
1. คนชอบของฟรี
2. คนเห็นแก่ตัวก็มี
3. คนมีน้ำใจก็มี
4. และ ก็มีคนหลากหลายมากมาย ที่เป็นตัวแทนของสังคมเราได้

ไม่มีไรมากแค่เหตุการณ์จำลองสนุกๆให้คนได้จิตนาการตาม ^^
GnohZnutlll

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความเข้ากันได้ของแต่ละ Group เลือด


การบริจาคเลือดถึงแม้จะมีมากมายแต่ใช่ว่าเลือดทุกถุงจะเข้าได้กับทุกคน ต้องดูกลุ่มเลือดเป็นหลักด้วย เพราะถ้าให้เลือดผิดจะยิ่งเป็นอันตรายแก่คนรับถึงชีวิตได้

ตามระบบ ABO ก็จะแบ่งเลือดเราได้ 4 กลุ่ม คือ A B O AB

A     เข้าได้กับ A, O
B     เข้าได้กับ B, O
O     เข้าได้กับ O เท่านั้น
AB   เข้าได้กับ ทุกกลุ่มเลย

หมายถึงเลือดเฉยๆนะคะ ไม่ใช่นิสัย 555 จะเห็นได้ว่ากลุ่ม O สามารถให้ได้ทุกกลุ่มเลย น่าจะเป็นเป้าหมายในการให้มาบริจาคเลือดเยอะๆนะนี่ ส่วนกลุ่มอื่นก็อย่าเสียใจไปมาร่วมทำบุญกันได้อยู่

สำหรับใครยังไม่รู้ว่าตัวเองกลุ่มเลือดอะไร ลองไปบริจาคเลือดแล้วให้เค้าส่งผลมาบอกก็ได้นะว่าอยู่กลุ่มอะไร ได้ไม่ตกเทรนนะจะบอกให้

บุญที่ยิ่งใหญ่คือบุญจากการให้โดยไม่หวังสิ่งใด

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเตรียมตัวก่อนการบริจาคเลือด



จากบทความที่แล้ว หลายคนคงอยากไปบริจาคเลือดดูสักครั้งในชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าคิดจะทำก็ทำได้ เราต้องมีการเตรียมตัว เตรียมใจไว้เช่นกัน

โดยหลักเกณฑ์หลักๆมีดังนี้
0. อายุตั่งแต่ 17- 55 ถ้ามากกว่านั่นต้องไม่ใช่การบริจาคครั้งแรกและได้ถึง 70 ปี และถ้า 17 ก็ต้องมีหนังสือยินยอมจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง
1. นอนหลับมาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
2. สุขภาพดี ไม่ได้ทานยาใดๆทั้งสิ้น
3. ทานอาหารมาก่อนบริจาค พอควร ย่อยง่ายไม่มีไขมัน เพราะถ้าไม่ทานเลยอาจเป็นลมได้
4. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง และบุหรี่ 1 ชั่วโมง
5. สตรีไม่มีประจำเดือนและไม่ท้องอยู่
6. ต้องห่างจากครั้งที่แล้ว 3 เดือน

ส่วนช่วงที่กำลังบริจาค และ หลังจากบริจาคก็ฟังพยาบาลที่รับบริจาคละกัน

ใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เข้าไปดูได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

อย่ากลัวการทำดี ^^
GnohZnutlll

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การบริจาคเลือด การทำบุญที่ยิ่งใหญ่



ช่วงนี้ก็จะได้ยินข่าวว่าเลือดสำรองกำลังขาดแคลน เลยอยากจะเล่าถึงเหตุการณ์เคยเกิดกับข้าพเจ้าเมื่อนานมาแล้ว



วันนั้นมีการมารับบริจาคเลือดที่มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าไปนั่งเล่นพอดีๆ

ข้าพเจ้าไม่เคยบริจาคเลือดมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก

นึกอย่างไรไม่รู้จึงลองอ่านๆดูว่าต้องทำอย่างไร แล้วก็เลยบริจาค

พอเสร็จก็ได้ขนมกับน้ำแดงทาน แล้วก็เดินงงๆ กลับบ้านไป



แค่ยังไม่พ้นวันรู้สึกได้ว่าได้บุญจากการทำทานครั้งนี่เลยนะ [ไม่เกี่ยวกับเงินทอง แต่รับรู้ได้]

สำหรับคนที่ยังไม่เคยบริจาค เพราะกลัวโน้นนี่ ไม่ใช่เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ อยากให้ลองไปดู อยากให้ได้รับสัมผัสนั้นบ้าง แต่ก็อย่าไปหวังอะไรมาก เพราะการทำบุญที่ยิ่งใหญ่คือ การทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน สักวันเราอาจต้องใช้เลือดจากคนอื่นเช่นกัน

เรื่องหน้าจะกล่าวถึงการเตรียมตัวก่อนการบริจาคเลือดนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทะเบียนรถเลขสวย ที่มากับรถมือสอง

(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับบทความ)

วันก่อนได้คุยกับพี่คนนึง พี่คนนั้นบอกว่า...

เพิ่งขายทะเบียนรถไปได้ เกือบแสน จากที่พี่เค้าซื้อรถมาเพียงแค่ สองแสนเป็นรถมือสองที่ขายพร้อมทะเบียน และยังมีรถอยู่กับตัว ใช้มาจะสิบปีแล้ว ถ้าขายรถได้ ไม่ว่าเท่าไหรก็คุ้มแล้ว

เรื่องทะเบียนก็เพิ่งรู้ว่ามีราคาตอนที่อยากจะขายรถเพื่อซื้อรถใหม่ [คือเลขก็สวยปานกลาง ถามพี่เค้ามา พี่เค้าบอกว่าถ้าสวยมากมีราคาพอๆกับบ้านดีๆเลยนะ หลักล้าน]

เชื่อว่าหลายคนก็รู้ว่ามีการประมูลเลขทะเบียนสวยกัน แต่คนทั่วๆไปก็คงไม่รู้เท่าไหรหรอกว่า...สวย นั่นคือยังไง เช่น ต้องเป็นเลข 9 หรือ? อักษรยังไง ต้องเซียนรถถึงจะรู้นะ [คิดว่างั้น]

บางคนก็อาจไม่รู้ว่าทะเบียนขายแยกกับรถได้ แต่คนส่วนมากนิยมขายไปพร้อมกัน

คุณเชื่อไหมบางสิ่งที่ดูไม่มีค่าที่ดูเหมือนแถมมา ถ้าเราเห็นค่าของมัน มันก็อาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิด

อยากให้คนเห็นค่าของตัวเองให้มาก ^^

ก็เลยเล่าสู่กันฟัง

GnohZnutlll


วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การสัมภาษณ์งาน


หลังจากที่บทความที่แล้วกล่าวถึงในส่วนของ RESUME แต่ในการสมัครงานบางที่ก็อาจมีการสัมภาษณ์งานด้วยเช่นกัน

บางคน รวมถึงข้าพเจ้าเองก็กลัว เช่นกัน แต่ถ้าเรามีความพร้อม รู้เขา รู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

======================

การเตรียมตัวก่อนการสัมภาษณ์ [ขอกล่าวถึงแบบทั่วไป] ควรเตรียม กาย ใจ และ ข้อมูล

ในส่วนของกาย ก็นอนหลับให้พอเพียง ทานอาหารให้เพียงพอ

ใจก็ฝึกสมาธิ ทำใจให้สงบ ไม่เครียด

ในส่วนของข้อมูล

1. รู้เขา - ควรศึกษาในส่วนของข้อมูลบริษัท ว่าบริษัทที่เราไปสมัครนั่นเกี่ยวกับอะไร สินค้า หรือ ผลงานที่มี ลูกค้า คู่แข่งและเรื่องอื่นๆที่ควรรู้เกี่ยวกับบริษัท เช่น ชื่อบริษัท [บางคนยังไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไร] และ ในส่วนของการทำงานว่างานที่เราจะไปทำนั่นน่าจะมีลักษณะอย่างไร การแต่งกาย เวลาเข้างาน-ออกงาน สถานที่ทำงาน ถ้ามีคนรู้จักที่เคยทำ หรือทำอยู่จะดีมากเพราะเค้าจะแนะนำเราได้ ถ้าจะให้ดีอาจลองหาตามเน็ตอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของบริษัทที่เราสนใจอยู่ก็ได้ ได้เตรียมตัว เตรียมใจได้ถูกขึ้น
ที่สำคัญควรรู้ว่าสัมภาษณ์ที่ไหน เวลาไหน เดินทางยังไง อาจลองไปดูก่อนสักรอบ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็ควรเผื่อเวลาไว้ด้วยในการหาที่ ไม่ควรไปสายเด็ดขาด และที่สำคัญคือตัวช่วย นั่นคือการถาม

2. รู้เรา - ถ้าเราเคยส่ง RESUME ไปให้ เราควรจะจำได้ และ อธิบายข้อมูลที่อยู่ในนั้นได้ อาจเตรียมเอกสารไว้เพื่อแสดงให้ดูเพิ่มเติมได้ ถ้าใครเขียนเกี่ยวกับภาษาไว้ก็ควรเตรียมตัวพูดในภาษาต่างๆเหล่านั่นด้วย นอกเหนือจากนั้น โดยทั่วไปสเต็ปการสัมภาษณ์จะให้เราแนะนำตัวเองก่อน ดังนั้นก็ควรเตรียมพูดไว้ และที่เค้าน่าจะถามอีกก็น่าจะเป็นการดูในส่วนของทักษะทางด้านงาน และ ทักษะด้านสังคม เช่นการทำงานเป็นทีม การทำงานกับผู้อื่น การตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ จุดอ่อน จุดแข็งของตน วิธีแก้ไข [ในเรื่องของจุดอ่อน พยายามหาสิ่งที่จะเปลี่ยนมาเป็นจุดแข็งในงานได้เช่น เป็นคนพูดตรงๆโกหกไม่เป็น ]

การพูดแนะนำตัว
ก็ไล่ไปว่า ชื่ออะไร อายุเท่าไหร จบที่ไหนมา สาขาอะไร มีทักษะในด้านไหนบ้างด้านงาน และ ทักษะ ด้านสังคม เช่น ภาวะผู้นำ เคยเป็นหัวหน้า และ อื่นๆ ไม่มาก ไม่น้อย เกินไป

วันสัมภาษณ์ [ควรนอนให้พอ และ กินอาหารให้พอเหมาะก่อนถึงเวลา]
1. การแต่งกาย ชุดเหมาะสมกับสถานที่ทำงาน อาจไปดูที่บริษัท แล้วดูว่าพนักงานเค้าแต่งกันยังไง แต่ถ้าจะให้ดุก็สุภาพไว้ก่อน การแต่งหน้าทำผมก็ให้ดูเรียบร้อย
2. การเข้าห้อง ก็ควรเคาะประตูก่อน มีเสียงให้เข้าได้ และควรได้รับการอนุญาติให้นั่งก่อนทำการนั่งในห้อง
3. ภาษา ทั้งภาษากาย และ คำพูด ในส่วนของภาษากายก็ไม่แสดงออกมากเกินไปจนเวอร์ แต่ก็ออกให้เป็นธรรมชาติ ไม่มากไม่น้อยไป มองหน้าคนถาม ยิ้มด้วยก็ดี ในส่วนของคำพูดไม่ควรใช้อารมณ์ที่เป็นลบ
4. การตอบคำถาม ก็ให้เป็นธรรมชาติ ถ้ามีการซ้อมมาแล้วก็พยายามไม่เป็นในรูปแบบท่องออกมา และไม่ใช่เป็นการถามคำ ตอบคำ คำตอบทุกคำตอบควรมีเหตุผล หรือ มีการสนับสนุน แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ให้บอกว่าไม่ทราบคะ ไปตรงๆ ดีกว่าอ้ำอึ้ง และที่สำคัญควรตอบให้ตรงคำถาม
5. ช่วงสัมภาษณ์ ควรฟังคำถามให้ดี คิดก่อนพูด รู้เวลาที่ควรจะหยุดพูด พูดความจริง และถ้าไม่เข้าใจคำถามให้ถาม

ในส่วนของคำถามนั่นก็มีมากมายหลากหลาย อาจเป็นทั่วไป คำถามจิตวิทยา และคำถามเกี่ยวกับเทคนิคลึกๆในงานเลยด้วย ก็ลองหาตามเน็ตเพิ่มเติม และ เตรียมตัวให้ดีๆ ขอให้โชคดี ได้งานดี ได้งานชอบ มีความสุขทุกคนเลย

GnohZnutlll



วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเขียน Resume สำหรับเด็กจบใหม่



ที่จริงข้าพเจ้าก็จบมาได้จะสองปีแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เมื่อหางานสำหรับคนทั่วไปคือ RESUME

RESUME คืออะไร
คล้ายๆเป็นเอกสารนำเสนอตัวเองต่อคนคัดเลือกให้รู้เกี่ยวกับตัวเรา ให้เค้าได้ใช้ตัดสินใจว่าจะรับเราเข้าทำงานดีไหม ไม่มีกฏตายตัวว่าต้องเป็นอย่างไร

ดังนั้นวันนี้ข้าพเจ้าจะนำเสนอรูปแบบของ RESUME ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้งาน [อันนี้อาจารย์ที่คณะสอนให้ทำก่อนจบมา เป็นวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการงาน ซึ่งมีประโยชน์กับข้าพเจ้ามากๆ ] แต่จะสนแค่รูปแบบก็ไม่ได้ เนื้อหาก็ต้องน่าสนใจ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งที่จะสมัครไปนั่นแค่ไหน

โดยมากแล้ว RESUME ไม่ควรเกิน 2 หน้า A4

ตัวอย่าง




ที่ข้าพเจ้าทำนั่นเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็สามารถนำไปประยุกต์เป็นภาษาไทยได้

มาเริ่มที่

กระดาษ : ก็ A4 ธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องถึงขนาดกระดาษมัน กระดาษสี ทำแบบทางการๆ ถ้าไม่ได้สมัครด้านออกแบบ หรืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่บางที่ให้ส่งไปในรูปแบบไฟล์ ก็ทำอยู่ในรูปของไฟล์ .doc เพราะน่าจะสากลสุดแล้ว

รูป [Picture] : ควรลงทุนไปที่ร้านถ่ายรูป ถ่ายแบบทางการมา และแต่งกายในชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยถูกระเบียบ ยิ้มน้อยๆพอเหมาะ ให้ดูไม่เคร่งเครียดเกินไป ขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะ 1 นิ้ว หรือ 1.5 นิ้ว

ตัวอักษร : ควรใช้แบบเดียวกันทั้งเอกสาร ส่วนขนาดก็ตามความเหมาะสม แต่ถ้าเนื้อหาระดับเดียวกันควรตัวอักษรเท่ากัน โดยส่วนตัวใช้ Times New Roman 11 ขึ้นไป และไม่ควรมีคำสะกดผิด

ชื่อ [Name] : ก็อาจเด่นๆหน่อย ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ในตอนขึ้นต้นชื่อ และ นามสกุล เช่น Nxxxxxxx Mxxxxxx

ที่อยู่ [Address] : ก็ตามจริงไป

เบอร์โทร [Phone Number] : เอาที่ติดต่อได้จริง เพราะเค้าอาจจะโทรมาสัมภาษณ์เราก่อนสักรอบ หรือสอบถามบางอย่าง อาจใส่แค่มือถือก็ได้ และสำหรับคนที่ชอบละเลยมือถือ ก็ดูให้บ่อยๆขึ้นละกันเพื่อพลาดโอกาส

อีเมล์ [E-mail address] : ถ้าใครไม่มีก็ไปสมัครก่อน และหัดใช้งาน ส่วนใครมีแล้วแต่ตั้งชื่อไม่เหมาะสมก็ไปสมัครใหม่ ชื่อเมล์ก็มีผลบ้างในการดูว่ามืออาชีพแค่ไหน ถ้าจะให้ดีก็ ชื่อ[.]นามสกุล@ hotmail หรือ gmail หรือ เมล์อื่นๆ ที่ใช้ทั่วไป เช่น nxxxxxx.mx@gmail.com

วัตถุประสงค์ [Objective] : ต้องการอะไร สมัครงานตำแหน่งไหน เพื่ออะไร อาจเขียนยากที่สุด เพราะการสมัครแต่ละที่ก็อาจจะเขียนไม่เหมือนกัน

สรุป [Summary] : ในส่วนนี้เป็นการสรุปสิ่งที่อยากโชว์หลักๆ ที่ทำให้เราเหมาะสมกับตำแหน่งที่เราสมัคร เช่น จบมาจากไหน ประสบการณ์ โปรเจคที่เด่นๆที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลย ที่จริงก็คือเลือกตัวเด่นๆ จากหัวข้อที่เหลือมาใส่ในการบรรยายอีกแบบ ให้ดูแค่ย่อหน้าเดียวก็อยากรับเลย แต่ถ้าต้องการรู้รายละเอียดเพิ่มก็เข้าไปเจาะแต่ละหัวข้อเอง เช่น ฝึกงานที่... เป็นเวลา 3 เดือน, มีประสบการณ์ในการเขียนภาษาต่างๆเหล่านี้ HTML, JAVA, C#, SQL, ... สามารถใช้ภาษา ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ในการฟัง พูด อ่าน เขียน ได้ดี

การศึกษา [Education] : เอาแค่ที่เกี่ยวข้อง หรือ ล่าสุด ดูตามตัวอย่าง สำหรับเด็กที่กำลังจะจบแต่ยังไม่จบก็เขียนตามข้างบนได้เลยว่า Expected graduation แต่ถ้าใครจบแล้วก็เปลี่ยนเป็น Graduated ในส่วนของเกรดถ้าต่ำกว่า 2.5 ก็แล้วแต่ว่าจะเขียนไหม แต่ถ้าเกรดดีๆควรใส่ และก็ใส่ Scale ไว้ด้วย เพราะ บางที่อาจตัดเกรดต่างกัน

ประสบการณ์ [Experience] : งานที่เคยทำมาทั้ง part time ฝึกงาน งานของคณะ ของมหาวิทยาลัยก็ได้ที่เกี่ยวกับงาน ถ้าไม่มีที่เกี่ยวกับงานก็ใส่ประสบการณ์อื่นๆลงไปได้ เพราะดีกว่าไม่มี บอกด้วยว่าที่ไหน และทำอะไรไปบ้าง

โปรเจค [Projects] : เชื่อว่าไม่ว่าเรียนอะไรจบมาต้องมีโปรเจค ไม่ว่าจะเล็กๆ หรือใหญ่ๆ ที่ทำทั้งเทอม เอาที่เด่นๆ ที่เกี่ยวกับงานมาใส่ไว้

กิจกรรม [Activities] : ส่งที่ได้ทำเช่นเข้าค่ายต่างๆ เป็นสตาฟงาน และอื่นๆที่น่าสนใจ อาจเป็นส่วนที่ทำเพื่อสังคมก็ได้ ได้ดูว่าไม่เป็นคนที่เอาแต่เรียน แต่ไม่สนใจใคร ส่วนใครไม่มีก็ถ้ายังมีเวลาก็ลองหาทำดู หรือถ้าไม่ได้จริงๆก็ใส่เป็น สิ่งที่เราสนใจ [Interests] แทนก็ได้

ทุกอย่างที่กล่าวไปควรใส่แต่ความจริง ที่อธิบายได้และมีหลักฐาน
ถ้าใครอยากแนบพวกรูป หรือเอกสารยืนยัน ก็แนบไปกับ RESUME ด้วยได้ ดูความเหมาะสมไป

RESUME แค่หน้า สองหน้า อาจดูเหมือนน้อย แต่ใช้กำลังกาย กำลังสมอง และกำลังใจ เยอะเลยทีเดียว
ก็ขอให้ทุกคนสู้และตั้งใจ

และถ้าเป็นไปได้หาคนที่มีประสบการณ์เช่นอาจารย์ของเรา มาช่วยตรวจให้เราหน่อยก็ได้ หรือถ้ามากไปเพื่อนเรานี่แหละที่จะเป็นคนช่วยเราได้

ขอยืมคำโบราณมาใช้ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ขอให้ทุกคนมีความสุขดี ^^
GnohZnutlll

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ป้ายข้างถนน




มีอยู่ครั้งนึงเมื่อยังเป็นนักเรียน มีโอกาสได้ไปเข้าค่าย และมีอาจารย์ที่ปรึกษาหนึ่งคน
อาจารย์คนนั้นได้รับเชิญไปฟังบรรยายที่แห่งนึงนานมากแล้วเลยจำไม่ค่อยได้ว่าที่ไหน เราเลยได้ไปด้วย

การบรรยายวันนั้นมีทั้งการบรรยายถึงการพิมพ์รูปแบบใหม่ [ในตอนนั้น] ที่สามารถพิมพ์ออกมาเป็นชิ้นงานสามมิติได้เลย และอีกเรื่องที่ได้มีการกล่าวถึงคือ เรื่องอักษรที่อยู่บนป้ายทางหลวง [ป้ายข้างถนน ในประเทศของพวกเรานี้แหละคะ]

ขอกล่าวถึงเรื่องอักษรที่อยู่บนป้ายทางหลวง
ผู้บรรยายได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราลองสังเกตดีๆ จะแบ่งอักษรบนป้ายส่วนมากได้สองประเภทคือ
1. อักษรแบบหัวทึบๆตามรูปเลย
2. อักษรแบบมีหัวกลวงๆ แบบที่อ่านอยู่นี่เลย

หลายท่านคงคิดว่า จริงหรือนี่ไม่เคยสังเกต [ขอตอบว่าจริงคะ 555]

ทำไมจึงต้องมี 2 แบบ สงสัยกันไหมคะ
แบบที่ 1 : เอาไว้ใช้ตามทางที่รถวิ่งกันเร็วๆ เนื่องจากจะอ่านได้ง่ายกว่า แต่ความสวยงามจะน้อยหน่อย
แบบที่ 2 : เอาไว้ใช้ตามทางที่รถวิ่งช้าๆ เนื่องจากมีความสวยงามกว่า และมีเวลานานในการอ่าน

จะเห็นว่าแค่ป้ายธรรมดาๆที่เราเห็นกันบนท้องถนนทั่วไป ก็ผ่านการคิด การออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานเช่นกัน

ลองมองรอบตัว ของทุกอย่างก็ผ่านการคิดมาทั้งนั้น เราจะลองคิดอะไรใหม่ๆขึ้นมาบ้างดีไหมน้า...

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนจะล้างรถตอนไหนมากกว่ากัน



เคยไปบริการล้างรถ ว่างๆก็เลยถามเค้าว่า...

ส่วนมากคนล้างรถตอนไหน ระหว่างช่วงที่ฝนไม่ตกยาวๆ กับ ช่วงที่ฝนตกประจำ

อยากให้เพื่อนๆลองทายดู แล้วลองหาถึงเหตุผล 1...2...3... หมดเวลา



ในตอนแรกนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าต้องเป็นตอนที่ฝนไม่ตกยาวๆแน่เลย เพราะถ้าช่วงฝนตกบ่อยๆ จะล้างไปทำไมเดี๋ยวฝนก็ตกอีก แล้วก็เปื้อนอีก



แต่คำตอบกลับเป็นว่า ช่วงที่ฝนตกคนกลับมาล้างรถเยอะ เพราะมันเปื้อนง่ายกว่า



การรู้ความต้องการของลูกค้า จะทำให้เราสามารถเตรียมตัว และคว้าโอกาสมาได้มากกว่าคนที่ไม่รู้ และการที่เราจะรู้ได้ก็เกิดจากการสอบถาม ค้นคว้า และประสบการณ์



[ที่ข้าพเจ้าใช้รูปรถ Jazz เป็นรูปตัวอย่างนั้นเพราะแม่ข้าพเจ้าใช้อยู่นะ]

การใส่หมายเลขหน้า Word 2010



ตอนเรียนอยู่ปีสี่ ---> ต้องทำ Senior Project --> สิ่งที่ต้องการคือการทำเอกสารที่มีทั้งปก สารบัญ เนื้อหาที่มีเลขหน้าทั้ง i, ii , iii, ... รวมทั้ง 1, 2, 3... หรือไม่ต้องการใส่หน้า บางหน้า อยู่ในไฟล์เดียวกัน

กว่าจะทำได้ ถึงขั้นปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว

ที่จริงเคยเขียนเกี่ยวกับการทำแบบนี้ในรูปแบบ Word 2007 ไปแล้ว แต่ตอนนี้หลายคนคงใช้ 2010 กัน เลยเขียนอีกรอบ

ขั้นตอนมีดังนี้
1. เปิด Microsoft Word 2010 ขึ้นมา
2. นำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน ตั้งแต่หน้าปก ยัน หน้าสุดท้าย
3. แบ่งเอกสารออกเป็นส่วนๆ เช่นส่วนปก สารบัญ คำนำ บทที่ 1 และอื่นๆ โดยการ คลิกที่ท้ายสุดของที่จะแบ่ง ทำไปจนหมดเอกสาร [Page Layout -> Breaks -> Next Page]



4. วิธีการเช็คการแบ่งส่วน ให้ Double Click ไปที่  หัวกระดาษ หรือ ท้ายกระดาษ จะเห็น Section แบ่งกันชัดเจน


5. อาจมีการเลี่อนของบรรทัดก็ให้ลบๆเอานะคะ
6. เริ่มการใส่เลขหน้า ให้เลือกไปที่หัวกระดาษ หรือท้ายกระดาษจนเห็นสีฟ้าๆตามข้อ 3. 
7. เลือก Tab Design --> Page Number --> Top of Page (สำหรับหัวกระดาษ) หรือ Bottom of Page (ท้ายกระดาษ) --> เลือกแบบ จะไว้ซ้าย กลาง หรือ ขวา



8. เลขหน้าก็จะขึ้นมาแล้ว

ถ้าไม่อยากให้เป็นเลขใน Section นั้นๆ
ก็เลือก Tab Design --> Page Number --> Format Page Number ... ก็จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกดังรูป
จะเริ่มที่เลขอื่นๆนอกจาก 1 ก็ได้ตรง Page numbering --> Start at 3,4, ...



ถ้าไม่อยากให้มีเลขในหน้าแรกของแต่ละ Section ก็เลือกตรง Tab Design --> Different First Page
 


ทำไปเรื่อยๆจนครบเอกสารแต่ถ้าไม่ได้อาจลองเช็คว่ามีการกด Link to Previous หรือไม่ถ้ามีให้เอาออกจะทำให้ผิดพลาดได้


ถ้ามีข้อสงสัยสอบถามได้ ^^ 
หรือถ้าผิดพลาดประการใดก็บอกกล่าวกันด้วยเน้อ

by GnohZnutlll

New Blog ! My Experience in my life




สวัสดีทุกท่าน....


แนะนำตัวกันก่อน : นามอย่างย่อของข้าพเจ้าคือ "นัท"
[ใน Eng คือ NUT ซึ่งหมายถึงคำว่า "บ้า" ก็ได้ บางทีข้าพเจ้าก็บ้าพอตัวนะ อิอิ]


ยินดีต้อนรับเข้าสู่ บล็อกใหม่ ของข้าพเจ้า
[เคยเขียนมาหลายแนวแต่ยังไม่พอใจ แต่ก็พยายามกันต่อไป]


เนื้อหาในบล็อกนี้ก็ตามแต่อารมณ์...และใจ...จะพาไป
[เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้พบ เจอ และอยากจะนำเสนอ]


=======================

ทำไมคำว่า LIFE ในรูปจึงมีหลายสีนะหรือ
--> เพราะ ในชีวิตคนเราผ่านเรื่องราว มากมาย หลากหลาย ถ้ายังมีชีวิต...สีสันก็ยังไม่หมดไป

หลายคน...เลือกจบชีวิตตัวเองลง ได้ทำลายสีสันของตน และคนที่รักไป
หลายคน...ยอมอยู่อย่างไร้สีสัน อยู่ไปวันๆอย่างไร้ความหมาย
หลายคน...มีสีที่ธรรมดา เรียบง่าย แต่สวยงาม
หลายคน...มีสีที่บริสุทธิ์ เปล่งประกาย
หลายคน...หลากสีสัน

ผู้เขียนแค่หวังว่าจะมีหลายคนใช้สีสันในชีวิตอย่างพอดี เพื่อเติมเต็มสีสันของตน และของผู้อื่น

=======================
GnohZnutlll